ตอนที่ 10 ถ้าแกพูดแล้วคิดว่ามีคนเชื่อ!
ชาวบ้านที่มาช่วยกันดับไฟมาออกันที่หน้าประตูแล้ว พอเห็นเงาคนที่ประตู ชายสองสามคนรีบพุ่งเข้าไป แต่เพราะจะรักษาระยะห่างชายหญิง จึงรีบลากหลี่ซื่อแล้วเหวี่ยงมู่หยุนเหยากับซูชิงออกไปด้านนอก
พออากาศบริสุทธิ์พุ่งเข้าปอด มู่หยุนเหยาไอออกมาทันที ทันใดนั้นมีผู้หญิงรีบเอาน้ำมาให้ “ขอบคุณสวรรค์ ที่ไม่มีใครเป็นอะไร”
มู่หยุนเหยาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเล็กๆนั้นยิ้มอย่างซาบซึ้ง แต่ก็มีน้ำตาไหลออกมา “ขอบคุณ ท่านป้าหยาง ท่านย่า ท่านย่านาง…”
“อ๊ะยา แขนของเธอ….” หญิงแซ่หยางกล่าวตื่นตระหนก ผิวพรรณมู่หยุนเหยามีชื่อเลื่องลือ แขนเล็กขาวๆนั้นยื่นออกมา ยังขาวนวลกว่าต้นหอมอีก ไม่รู้ว่ามีสาวๆกี่คนที่อิจฉานาง ทว่าตอนนี้ แขนทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเลือด บนฝ่ามือมีแผลไฟไหม้น่าสยดสยอง
เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผากมู่หยุนเหยา ดวงตาฉายแววความวิตกกังวล “แค่ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยตอนที่ช่วยท่านย่าไว้ ข้าไม่เป็นไร แต่ขาท่านย่าโดนตู้ทับจนบาดเจ็บ ถ้านางฟื้นขึ้นมา ต้องตีข้าตายแน่…”
ความไร้เหตุผลของหลี่ซื่อนั้นมีชื่อเสียงอื้อฉาวในหมู่บ้าน ทว่า นางปฎิบัติกับลูกสะไภ้และหลานสาวยิ่งรุนแรงกว่า ทำให้ชาวบ้านทนดูไม่ไหว แต่เนื่องจากเป็นเรื่องของบ้านตะกูลมู่ คนภายนอกจะเข้ามาแทรกแทรงก็ไม่ดี แต่พอเห็นสภาพตอนนี้ เด็กสาวคนนี้ช่วยชีวิตหลี่ซื่อจนมีสภาพเยี่ยงนี้ ถ้าหลี่ซื่อยังไม่รู้สึกขอบคุณอีก ก็คงต้องว่ากล่าวกัน
“สาวน้อยมู่ไม่ต้องห่วง เธอได้ช่วยชีวิตย่าเธอ นางจะมาตีเธอทำไม”
มู่หยุนเหยายังคงไม่สบายใจ ค่อยๆพิงแล้วขดตัวไปกับข้างกายซูชิง เหม่อมองไปที่กองเพลิงเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
เมื่อเห็นหลังที่บอบบางของทั้งคู่ ทำให้ชาวบ้านที่มาช่วยดับไฟอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว แม่หม้ายลูกติดนี้ช่างน่าสงสาร
มู่เฉิงนั้นเป็นบัณฑิตเพียงคนเดียวของหมู่บ้านชิอาน ทั้งยังมีความอ่อนโยนและใจกว้างต่อผู้อื่น ในวันปกติจะคอยช่วยคนอื่นเขียนจดหมาย จึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วหมู่บ้าน ถึงแม้จะมีบางคนที่อิจฉาเขาที่ได้แต่งงานกับสาวสวยซูชิง แต่ก็ไม่สามารถว่าอะไรได้ ได้เพียงแต่ฝืนยิ้มและอวยพร
ถ้าจะพูดว่าใครที่ไม่ดี ก็ต้องเป็นแม่ของเขา หลี่ซื่อนั้นเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวดุร้าย เพียงเพราะแค่ไม้ขนไก่ก็ทำให้ทะเลาะกับเพื่อนบ้านได้ทั้งวัน ทั้งยังเป็นคนที่แข็งกร้าว จิตใจคับแคบ เพื่อเงินไม่กี่ตำลึง กลับบังคับให้น้าของมู่เฉิงต้องแต่งงานไปที่ห่างไกล ทำให้พ่อของมู่เฉิงโกรธและอับอายจนกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
“ค่อก ค่อก(เสียงไอ) นังตัวดี แกมันดัดจริต!” หลี่ซื่อได้สติ พึ่งลืมตาขึ้นมา ก็ด่าทอมู่หยุนเหยา!
มู่หยุนเหยาซบซูชิงแน่นขึ้น สีหน้าแสดงความหวาดกลัว “ท่านย่า ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“แกมันนังสารเลว แกทำให้ข้าเจ็บขนาดนี้ ยังมีหน้ามาถามข้าว่าเป็นอะไรไหม? เจ็บแทบตายแล้ว อ๊า ขาข้า….”
“ท่านย่า ขาของท่านโดนตู้เสื้อผ้าล้มทับจนบาดเจ็บ ข้ากับท่านแม่รีบช่วยกันยกตู้ขึ้นมาอย่างยากลำบาก มิเช่นนั้น พวกข้าก็หนีออกมาได้นานแล้ว”
“ผายลม เป็นแกทำข้า เป็นแกตีขาข้าจนหัก แกมันนังสารเลว รอให้ข้าหายดีก่อน ข้าต้องตัดขาแกให้ได้!”
มู่หยุนเหยาอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งผวา โผลเข้าอ้อมแขนของซูชิงสั่นไปทั้งตัว รังสีเย็นยะเยือกแวบผ่านดวงตานาง
คนในหมู่บ้านที่มาช่วยดับไฟที่ยืนอยู่รอบๆอดทนดูไม่ไหว
“แม่เฒ่าหลี่ พวกข้าได้เห็นหมดแล้ว เด็กน้อยหยุนเหยาเพราะจะช่วยชีวิตคุณ แขนทั้งสองข้างของนางกลับโดนไฟไหม้จนบาดเจ็บ คุณยังมาใส่ร้ายนางแบบนี้ ยังมีมโนธรรมอยู่อีกไหม?”
“หลังจากที่มู่เฉิงตาย คุณก็ทำเรื่องลำบากอับอายต่อสองแม่ลูกทุกวิถีทาง ช่างไม่เกรงกลัวต่อบาปจริงๆ”
หลี่ซื่อพอได้ยินที่กล่าวมาก็โมโหมาก แม้ตอนนี้เจ็บจนจะเป็นลม แต่ก็จะไม่ยอมเสียหน้า “เป็นสุนัขทำมาจับหนู ยุ่งเรื่องชาวบ้านมากนะ! ข้าสั่งสอนลูกสะไภ้กับหลานสาวตัวเองเกี่ยวอะไรกับพวกแก?”
“แก…” หยางซื่อทนดูไม่ไหว ก้าวไปด้านหน้าตบหลังมู่หยุนเหยาเบาๆ หันไปกล่าวกับซูชิง “บ้านไฟไหม้หมดแล้ว พวกเธอสองแม่ลูกไม่มีที่ไป วันนี้ไปนอนที่บ้านข้าก่อนคืนนึงแล้วกัน”
“ไม่” มู่หยุนเหยาเงยหน้า “ขอบพระคุณท่านป้าหยางมาก เพียงแต่ว่าขาของท่าย่าได้รับบาดเจ็บ ยังต้องการคนดูแล พวกข้าอาศัยชั่วคราวที่บ้านท่านย่าก็ได้แล้ว”
“แต่อารมของนางนั้น…” หยางซื่อไม่ทันได้กล่าวจบ แต่ก็แสดงความรังเกียจบนใบหน้าอย่างชัดเจน
“ไม่เป็นไร ท่านย่าตอนนี้ขยับไม่ได้ พวกข้าควรจะแสดงความกตัญญู ไม่เช่นนั้น เกรงว่าดวงวิญญาณของท่านพ่อบนสวรรค์ จะตำหนิพวกข้าได้”
มู่หยุนเหยาเสียงอ่อนนุ่ม คำพูดที่กล่าวออกมาล้วนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทำให้ชาวบ้านโดยรอบอดไม่ได้ที่จะแอบพยักหน้า สมกับเป็นลูกสาวที่ได้รับการอบรมจากบัณฑิตผู้เป็นพ่อ เพียงแค่บุคลิกภาพเช่นนี้ก็ชวนให้คนอดไม่ได้ที่จะสงสาร